087 751 8786
majicthai@gmail.com

แม่ตั้งครรภ์ » ท้องนอกมดลูก สาเหตุที่คุณแม่ต้องยุติการตั้งครรภ์

ท้องนอกมดลูก สาเหตุที่คุณแม่ต้องยุติการตั้งครรภ์

Admin 2024-05-30 10:34:17

การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เป็นเรื่องที่สำคัญและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายประการ ซึ่งอาจทำให้คุณแม่ต้องยุติการตั้งครรภ์เพื่อรักษาสุขภาพของตนเองและทารก และหนึ่งในสาเหตุที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้แก่ท้องนอกมดลูก ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรงและต้องได้รับการรักษาทันที

ท้องนอกมดลูกเกิดขึ้นเมื่อทารกเจริญเติบโตภายในรังไข่ที่ไม่ได้อยู่ในมดลูก ซึ่งจะเกิดเมื่อมีการติดเชื้อในท่อไต หรือท่อปากมดลูก ซึ่งสามารถเกิดได้หลังจากการตั้งครรภ์ได้รับการยืนยันแล้ว อาการของท้องนอกมดลูกสามารถระบุได้โดยมีอาการเจ็บหนังท้องและอาการปวดหลัง โดยอาการเจ็บอาจเป็นเพียงอาการเจ็บช่วงเดียวก็ได้ หรืออาจเป็นอาการเจ็บที่รุนแรงและต้องรักษาโดยการผ่าตัด

สาเหตุที่ท้องนอกมดลูกเกิดขึ้นสามารถมีหลายปัจจัย ได้แก่ การใช้เครื่องคุมกำเนิด (contraceptive) ที่ไม่ได้ใช้ตามวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะการติดเชื้อและอาจทำให้รังไข่ที่อยู่ในท่อไตหรือท่อปากมดลูกเสียชีวิต และเมื่อรังไข่หยุดพัฒนาในท่อไตหรือท่อปากมดลูกจะทำให้เกิดการแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่สุดท้ายก็จะเกิดเป็นท้องนอกมดลูก

การวินิจฉัยท้องนอกมดลูกสามารถทำได้โดยการทำตรวจโดยใช้เครื่องมือช่วย เช่น การทำ ultrasound หรือการตรวจระดับโปรเจสเทอร์โรนในเลือด โดยในบางกรณี อาจจะต้องเพิ่มการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจ CT scan เพื่อตรวจสอบว่ามีการเกิดการแตกที่ช่องท้องหรือไม่

วิธีการรักษาท้องนอกมดลูกจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ แต่ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการผ่าตัดเพื่อเอาอวัยวะที่เสียชีวิตออก อาจจะต้องใช้การใช้ยาซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดและการติดเชื้อ แต่วิธีการนี้อาจมีผลข้างเคียงและไม่เหมาะสมกับบางบุคคล การรักษาท้องนอกมดลูกนั้นเป็นการที่อันตรายและต้องรับการรักษาโดยทันที

การป้องกันการเกิดท้องนอกมดลูกสามารถทำได้โดยการใช้วิธีการคุมกำเนิด (contraceptive) โดยที่ต้องใช้ตามวิธีที่ถูกต้อง และอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดท้องนอกมดลูกได้มากที่สุด นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารเพียงพอและครบถ้วน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการดูแลสุขภาพร่างกายอย่างเหมาะสม ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดท้องนอกมดลูกได้

ในบางกรณีที่มีประวัติเคยเป็นท้องนอกมดลูกมาก่อน หรือมีประวัติภูมิคุ้มกันบกพร่อง แพทย์อาจแนะนำให้พิจารณาการตั้งครรภ์ด้วยวิธีการช่วยเหลือการตั้งครรภ์ เช่น การฉีดฮอร์โมน หรือการฝังตัวเทียมขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในแต่ละกรณี

วิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม

  • การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน

การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะท้องนอกมดลูกได้ ควรรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อการตั้งครรภ์ เช่น โฟเลท แมกนีเซียม และกรดโฟลิก แต่ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์แดงหรืออาหารที่อุดมไปด้วยไขมันหรือน้ำตาลมากเกินไป

  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดวิธีการดูแลสุขภาพร่างกายอย่างเหมาะสม การดูแลสุขภาพร่างกายอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดท้องนอกมดลูกได้ เช่น การหมั่นดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เช่น การรับวัคซีน และการประคองความสะอาดในสภาพแวดล้อมรอบตัว เช่น การล้างมืออย่างถูกต้อง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งของที่เป็นเชื้อโรค

  • การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์

การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่สำคัญและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดท้องนอกมดลูกได้ โดยการตรวจสุขภาพที่จะต้องรวมถึงการตรวจระบบภูมิคุ้มกัน การตรวจสารอาหาร เช่น สารโฟเลต และการตรวจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ เช่น ประวัติแพ้ยา หรือประวัติโรคในครอบครัว

  • การดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์

การดูแลและเฝ้าระวังสุขภาพในช่วงตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่สำคัญและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดท้องนอกมดลูกได้ ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ เพื่อตรวจสอบความเป็นปกติของการตั้งครรภ์และช่วยตรวจจับอาการไม่พึงประสงค์ด้วยสุขภาพของแม่และทารกได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดท้องนอกมดลูกได้


ในกรณีที่มีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือเจ็บท้อง ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพและการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตของแม่ โดยการตรวจสุขภาพและการรักษาในช่วงตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่สำคัญและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดท้องนอกมดลูกได้

Reference

  1. “Risk factors for ectopic pregnancy: a UK national case-control study” by Varsha K. Shah et al. (2011). URL: https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/21464325/
  2. “Tubal ectopic pregnancy: diagnosis and management” by Alparslan Baksu et al. (2013). URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3891731/
  3. “Ectopic pregnancy: a clinical review” by Megan L. Wasson et al. (2018). URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5791627/
  4. “Risk factors for ectopic pregnancy: a meta-analysis” by Nita J. Maiquez et al. (2019). URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6805562/
  5. “Ectopic pregnancy: diagnosis and management” by Yael S. Tobie-Pauler et al. (2020). URL: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7020402/
  6. https://jessiemum.com/4062/pregnant/